البحث

عبارات مقترحة:

اللطيف

كلمة (اللطيف) في اللغة صفة مشبهة مشتقة من اللُّطف، وهو الرفق،...

الإله

(الإله) اسمٌ من أسماء الله تعالى؛ يعني استحقاقَه جل وعلا...

ปัญญศักย์ (อับดุลฮาดีย์) มุสลิมใหม่ นักวิจัยสามจังหวัดภาคใต้

التايلاندية - ไทย / Phasa Thai

المؤلف ซุฟอัม อุษมาน
القسم مقالات
النوع نصي
اللغة التايلاندية - ไทย / Phasa Thai
المفردات الدعوة إلى الإسلام - لماذا أسلموا؟ [ قصص المسلمين الجدد ]
ปัญญศักย์หรืออับดุลฮาดีย์ โสภณวสุ นักวิจัยจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและนักศึกษาปริญญาโท วิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี ละเลียดโลกแห่งการต่อสู้ตั้งแต่ยุค 14 ตุลา มาถึงยุคไฟใต้ครุกรุ่นมาเล่าให้

التفاصيل

      คำให้การของนักปฏิวัติ   เขาต้องการจะเปลี่ยนแปลงโลก เขาผ่านการต่อสู้มาหลายรูปแบบ  ไม่ว่าจะเป็นการประท้วง  การต่อสู้ด้วยปืนแบบคอมมิวนิสต์ การทำงาน NGO การรับราชการ หรือแม้แต่การลงสมัครรับเลือกตั้ง! เขาผิดหวังมาตลอดกับการต่อสู้ในรูปแบบต่างๆ และในที่สุดเขาก็มาเจอ คำตอบที่ถูกต้องที่สุด นั่นคือการญิฮาด   ปัญญศักย์หรืออับดุลฮาดีย์ โสภณวสุ นักวิจัยจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและนักศึกษาปริญญาโท วิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี  ละเลียดโลกแห่งการต่อสู้ตั้งแต่ยุค 14  ตุลา มาถึงยุคไฟใต้ครุกรุ่นมาเล่าให้                  ล้อมวงเข้ามา อย่าพลาดแม้แต่เสี้ยววินาที   “ผมเข้าธรรมศาสตร์ปี 16  ผมมาจากวัดประดู่นายทรงธรรม  ผมมาคนเดียวไง  ตอนนั้นคนที่คะแนนไล่กันก็จะอยู่กลุ่มเดียวกัน   มีที่ปรึกษาคนเดียวกัน    เราก็ไปไหนไปด้วยกันไปกันทั้งกลุ่ม  เลือกคณะเดียวกันทั้งหมดเลย ส่วนใหญ่ เขาจบจากเตรียมอุดมศึกษา  แล้วพอดีช่วงนั้นมีประท้วงดร.ศักดิ์ที่รามคำแหง  เราก็ประท้วงไปเรื่อย  จนเข้าสู่การเมืองธรรมศาสตร์ในสมัยโน้นเขากำลังเข้มข้น การปรับตัวความคิดของนักศึกษาที่ต่อสู้เผด็จการมันแรงไงก็เข้ากันทั้งกลุ่มเลย ทำกิจกรรมนักศึกษาอยู่พรรคพลัง ธรรม  เพราะตอนนั้นมีการลงคะแนน เลือกหัวหน้าพรรค  พวกรุ่นพี่ก็ดึงไปโหวตให้อีกคนเพื่อจะเป็นหัวหน้า พรรคพลังธรรม  เพื่อไปช่วงชิงการนำ ในธรรมศาสตร์  ผมก็ไปเข้าร่วม ผมเข้าเรียนประมาณพฤษภา มิถุนา  กรกฎาก็เดินขบวน  มาถึง 14 ตุลา 16 ผมก็ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย  ทั้งวันคุมอยู่ตึกโดม ปีกนึง มันรื้อไปแล้ว  ผมอยู่อีกฝั่งหนึ่ง  พอเขา เคลื่อนออกไปเราก็นอน  เพลียเพราะ ทั้งคืนที่เฝ้า  ก็ค้างอยู่ในธรรมศาสตร์    ช่วงที่ไปอยู่หน้าสวนจิตรฯผมถึงจะไป  ตอนเขาบอกว่าจะกำหนดปล่อยตัว       ทั้งหมด  ก็เดินทางกลับบ้านกับเพื่อน คนหนึ่ง   พอรู้ข่าวว่านักศึกษาโดนตี ผมก็วิ่งกลับเข้าธรรมศาสตร์  สู้ต่ออยู่ บนลานอนุสาวรีย์ตลอดจนชนะ”   “6 ตุลาผมอยู่ธรรมศาสตร์ ผมก็ทำหน้าที่กับเพื่อนนี่แหละ ก็โดนไล่ยิง แต่ผมหนีออกมาได้ ผมอยู่แถวตึก กิจกรรมนักศึกษากับตึกวารสาร ผมหลบในซอกตึก ไอ้พวกนี้มันบ้าเลือด ตั้งแต่มันบุกเข้ามาได้ มันฆ่าไม่เลือก ลากไปฆ่าเลย หน้าที่ของเราตอนนั้นคือพานักศึกษาที่อยู่แถวนั้นหนีไปเพื่อหาที่ปลอดภัย ก็เจาะกำแพงวารสาร นักศึกษาตอนนั้นทั้งสี่ชั้นเต็มหมด  ก็พานักศึกษาหนี  โดดแม่น้ำเจ้า พระยา  แล้วก็ต่างคนต่างหนี  ก็หนีมา ได้ สักพักผมก็เข้าป่า”       เข้าป่าเป็นคอมมิวนิสต์   “ตอนอยู่ธรรมศาสตร์ขบวนการ นักศึกษาเปลี่ยนแล้ว  คาร์ล มาร์กพูด ถึงทฤษฎีวัตถุนิยมวิพาษวิธีว่าการ พัฒนาทั้งหมดมันเกิดมาจากความขัด แย้ง  เขาเอาทฤษฎีนี้มาอธิบายประวัติ  ศาสตร์  สังคมบุพกาลเป็นสังคมทาส  แล้วมาเป็นสังคมศักดินา   มาเป็น สังคมทุนนิยม  แล้วจึงจะเป็นสังคม นิยมคอมมิวนิสต์     เราก็เชื่อว่าสังคมมัน จะพัฒนาไปตามนี้  และสังคมอุดมคติ  ของลัทธิมาร์กคือ สังคมนิยมคอมมิวนิสต์  แล้วลัทธิเหมาเขาอธิบายว่าการ   ที่จะเปลี่ยนสังคมไปสู่สังคมอุดมคติ  มันต้องตีความสังคมไทย   แล้วขบวน การคอมมิวนิสต์ก็ตีความว่าสังคม  ไทยเป็นสังคมกึ่งศักดินาต้องใช้อาวุธ ล้อมเมือง เพราะฉะนั้นโดยความคิด   ของเหมาทำให้ขวนการต่อสู้ทั้งหมด พุ่งไปสู่การต่อสู้ในชนบทเขตป่าเขาร่วม กับพรรคคอมมิวนิสต์  พอเขาปราบ  เรา ก็ไปกันเลย  นักศึกษาส่วนใหญ่ก็หนีไป กันเลยผมอยู่ชัยภูมิ มีนักศึกษาล้วนๆ  เป็นเขตที่นักศึกษาจัดตั้งกันเองเลย  เพราะสมัยเราต่อสู่ในธรรมศาสตร์ เราก็ไปทำงานในชนบทแล้ว  เราไป ปลุกระดมชาวบ้านชาวนามาเดิน ขบวนหลายครั้ง  เราก็ไปเชื่อมต่อกับ       พรรคคอมมิวนิตส์ได้
ผมเข้าไปทำงานมวลชนอยู่บน เขา   ต้องเดินลงไปปลุกระดมมวลชน  เราต้องเอากำลังคนหนุ่มสาวขึ้นมา  ติดอาวุธ  มันต้องสร้างกองกำลังพูด ง่ายๆ    มันแค่เป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธ เพราะเหมาบอกว่าอำนาจรัฐมันมา  ด้วยกระบอกปืนไม่ได้มาด้วยการร้อง ขอ    พอผมทำงานมวลชนทำไปทำมาจัดตั้งได้นะ หมู่บ้านติดเชิงเขา  สักพัก ก็เสียลับ เสียลับคือเจ้าหน้าที่เขารู้  เพราะมันมีคนที่ชอบเราไม่ชอบเรามีคนเห็นด้วยกับเรา  แล้วก็มีคนกลัวเรา     ในที่สุดก็รู้ไปถึงหูเจ้าหน้าที่  เขามาปิดล้อม  ทำงานไม่ได้ ก็หนีไปหมู่ บ้านอื่นเดินวันนึงกับคืนนึง  ก็ใช้เวลาเป็นวันในการไปหมู่บ้านใหม่   ตอนเป็นคอมมิวนิสต์ผมเป็นคน ไม่มีศาสนา ก่อนหน้าเป็นพุทธ  เป็นพุทธตามทะเบียนบ้าน  ป.4 เรียนวิชาศีลธรรมเล่มเล็กๆ  เรียนประวัติ สิทธัตถะ พระไตรปิฎกแต่ก็บวชหลังจากออกจากป่า  แม่ให้บวชเพราะพุทธเขาเชื่อว่าแม่จะได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์  พอ 15 วันก็ขอออก  เพราะคอมมิวนิสต์ไม่มีศาสนา เขาถือว่าศาสนาเป็นเรื่องที่ชนชั้นปกครอง ใช้มามอมเมาประชาชนเพื่อให้ประชาชนอ่อนแอเพื่อปกครองง่าย    ผมอยู่ป่าสองปีครึ่งก็ออกมา เพราะผมรู้ว่าชนบทล้อมเมืองมัน ทำไม่ได้  ไปจัดตั้งมวลชนก็ถูกเจ้าหน้าที่เขาบล็อกหมด  เขาแก้ไขได้หมด  เราก็ใกล้ตายไปเรื่อยๆ แล้วมันมีความขัด แย้งของแนวความคิดมาร์กระหว่างจีนกับรัสเซียพอดี  ตอนนั้นมันเกิดหลาย เรื่องนะในที่สุดผมก็ตัดสินใจออกมา”       จาก NGO  มาสู่ข้าราชการ                  “ผมออกมาเรียนต่อปริญญาตรี เพราะตอนที่ไปผมเพิ่งอยู่ปีสอง ผมเว้นไปสองปีครึ่งก็คือสี่ปีที่ผ่านมาได้ห้าสิบหน่วยมั้ง ผมกลับมาก็มาเร่งเรียนสองปีจบ      ทั้งหมดสิบปีปริญญาตรี แล้วผมก็ไปสมัครงานที่มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคมตอนนั้นภูมิธรรม (เวชยชัย)เขาคุมอยู่ แล้วไปทำงานที่การเคหะงานสลัม ก็ทำไปเรื่อย สักพักก็เรียนปริญญาโท  ขัดแย้งกับภูมิธรรม  มันจะไม่ให้ผมเรียน ทำงานอาสาสมัคร เรียนปริญญาโทไม่ได้  แต่ผมก็เรียน สักพักหมดสัญญาผมก็ออก  มาทำงานอยู่ ธรรมศาสตร์ แล้วมาทำงานมูลนิธิญี่ปุ่น ต่อมาก็สอบเข้าปลัดอำเภอ ไปจังหวัดตราดเขาสมิง ปี 27 เป็นปลัดอำเภอจริงๆ ไม่ถึงสองปี ผู้ใหญ่ก็ดึงผมมาทำงานกรมปกครอง  ทำเรื่องวิเคราะห์ความมั่นคง สถานการณ์การเคลื่อนไหวการเมืองในประเทศ  เขารู้ว่าผมเคยอยู่ในขบวนนักศึกษา เลยให้มาช่วย ช่วงนั้นก็มีม็อบ  ผมก็เข้าใจว่าขบวนการม็อบเป็นยังไง เราจะแก้ปัญหายังไง ทำยังไงถึงจะยุติม็อบนี้มีเบื้องหลังไหม  บริสุทธิ์ไหม เราดูออก      เราก็ช่วยเขา แค่เขาเคลื่อนมาก็ดูออกมาว่าบริสุทธิ์หรือมีเบื้องหลัง  แต่บางช่วงก็ไป ช่วยงานหน้าห้องรัฐมนตรีอยู่ หลายคนทำสลับไปสลับมาอย่างนี้แหละ จนปี 35 ผมลาออก”       ก้าวสู่สนามการเมือง                  “ผมลงสมัครการเมืองสมัคร สก.พรรคพลังธรรมเขตบางจาก  ก็แพ้ประชาธิปัตย์ เราไม่ซื้อเขาซื้อ  ทีนี้กะจะลงอีกสมัยนึงต่อ ก็ช่วยงานการเมืองในพรรคนั่นแหละ  แต่พอเห็นท่าไม่ดีไม่มีทางสอบได้แล้ว  เพราะเรารู้ว่าการใช้เงินแรงขึ้นแล้วเราไม่มีสิทธิ์สู้  เลยกลับเข้ามารับราชการต่อ  ถ้าจำไม่ผิดก็ปี 42 มั้ง  ก็กลับมาทำงานกรม ปกครองเหมือนเดิม จนมีปฏิรูปราช การมีการแบ่งกรมใหม่  มีกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัยผมก็ขอโอนมา”       ญิฮาดคืออะไร?                  “ตอนที่เขาปล้นปืนกัน ปี 47  ผมก็รู้แค่ว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นสามจังหวัด รู้ว่าตรงนี้เป็นพื้นที่มุสลิม รู้ว่าเป็นขบวนการทำการปล้นปืน ที่ผมรู้จักมันไม่ใช่อิสลามนะ ผมรู้จักบินลาดิน  ฮัมบาลี      สถานการณ์ความรุนแรงภาคใต้ของไทย ความรุนแรงที่อิรัก ที่อัฟกานิสถาน รู้ว่าเป็นขบวนการเกี่ยวกับมุสลิม แต่ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับศาสนายังไง  พอปล้นค่ายผมก็ขอลงมาสามจังหวัด  ลงมาตามเรื่องนี้แล้วผมมีเพื่อนเป็นอาจารย์ อยู่ที่นี่ อ.ศรีสมภพ จิตภิรมย์ศรี แกเป็นอาจารย์ที่นี่(มอ.ปัตตานี)มานาน  ผมเลยลงมาอยู่กับแก ผมบอกว่าอาจารย์ ดูดีๆ มันไม่ใช่การต่อสู้แบบเก่า มันมีเรื่องความคิดอุดมการณ์เข้ามาแล้ว เรารู้ว่าไม่ใช่แนวความคิดใหม่ไม่ใช่ พวกดื้อแบบพูโลหรือบีอาร์เอ็นที่เจ้าหน้าที่มักจะอ้าง  พวกนั้นมันไม่มีความคิด มันเรียกค่าคุ้มครองอะไรต่ออะไรเท่านั้น  ผมก็เอาหนังสือมาอ่าน เอางานปริญญาโทปริญญาเอกของวันกาเดร์ เจ๊ะมันมาอ่านของอาจารย์ก็ได้ของโอเลเวีย ลอย เอสเปอซิโตมาอ่านก็ศึกษาการก่อการร้ายทั้งโลก  แต่พวกนี้ศึกษาไปรู้อยู่ว่าเป็นญิฮาด รู้อยู่ว่าเป็นการต่อสู้ของอิสลาม  ของบินลาดินของฮัมบาลี ของอัซซากาวี เป็นเรื่องญิฮาดทั้งนั้น  แต่เราดูไปศึกษาไปก็ไม่เข้าใจ เราก็ศึกษาทำ วิจัยไปเรื่อย  อาจารย์เขาก็อ่าน      หนังสือฝรั่งไม่เข้าใจสักทีว่ามันคือ อะไร  ก็เลยกลับมาหาที่อัลกุรอาน ก็ไม่เข้าใจก็เลยติดต่อหลาน(อับดุลอาซีซ  โสภณวสุ)เพราะหลานผมเป็นมุสลิม  เป็นโดยกำเนิดเพราะแม่เขาเป็น ที่ผ่านมาไม่เคยติดต่อกันเลย  ผมก็ถามอาซีซ  อาซีซก็ตอบมา แต่ผมจับเรื่องไม่ถูก  แล้วมีงานเมาลิดผมก็ไปซื้อมาชุดนึงเลยของเมาดูดี (ตัฟฮีมุล กุรอาน)  ผมก็มาเปิดดู  มาศึกษาว่า ญิฮาดคืออะไร เข้าเว็บไซต์ก็ไม่เข้าใจ  คือเข้าใจไม่ถูก ตะวันตกไม่ได้บอกว่าไม่มี  มันบอกว่ามีญิฮาดนัฟซู  มีญิฮาด      เล็กไม่มีญิฮาดใหญ่ นั่นมันบิดเบือน  แล้วก็มาอ่านของอับดุลลอฮฺ อัซซัม อาจารย์ของพวกอัซซากาวีเราก็สับสน อาซีซก็ชวนไปหาหลายอาจารย์เหมือนกันนะแต่ผมไม่เคยไป จนแล้วจนรอดก็มาหาเชคริฏอ สมะดี วันแรกผมก็ฟังแกสอนเรื่องมหัศจรรย์สิ่งลี้ลับ พอพูดเสร็จมีเลี้ยงข้าว  ผมก็เข้าไปถามเลย  ญิฮาดคืออะไร แกก็ตกใจ แกบอกต้องศึกษานานมาก  ผมก็เลย ทยอยฟัง  ทยอยอ่าน  หลานก็ให้เทป ผมก็ฟังหมด  ผมก็ขอมาเรียน มาฟังตัฟซีรจากเชค ฟังซีดีที่แกสอนมาทั้งหมด  ผมฟังหมด  แล้วก็แกะ แกะมา เป็นลายมือผม  แต่ชื่ออุลามาอฺผมฟังไม่ออก ที่เป็นภาษาอาหรับผมฟังไม่ออก  ผมก็เว้นไว้  แล้วก็มีเอกสารสองชุดที่หลานผมให้ เป็นเอกสารภาษาอังกฤษจากสันติชน    เป็นเรื่องที่กุรอานพูดถึงวิทยาศาสตร์  ผมอ่านเรื่องการกำเนิดฝนการเกิดภูเขา  ชัดที่สุดก็เรื่องฝน  มันชัดตอนที่ผมขึ้นเครื่องบิน แล้วฝนมันก็เกิดตามนั้น  เพราะในกุรอานบอกว่าเมฆเล็กๆพัด  แล้วมันก็ก่อตัว เป็นเมฆสูงขึ้น พอสูงขึ้นมันหนัก  แล้วมันก็จะตกมาเป็นฝน  มีฟ้าแลบ  ถ้าสูงมากๆก็จะเป็นลูกเห็บ ผมก็กลับไปอ่านอีกทีอ่านซ้ำไปซ้ำมา  กุรอานไม่ใช่มนุษย์เขียนแน่นอน  เพราะมนุษย์เพิ่งเจอว่าภูเขาคือหมุดที่ฝังลงไปไม่ให้ แผ่นดินมันเคลื่อน มนุษย์เพิ่งมาเจอไม่นาน  แล้วก็การเกิดเอ็มบริโอที่อัลลอฮฺ สร้างพวกเราเนี่ยมีขั้นตอนเป็นอสุจิ ปึ๊บ ก็เป็นตัวปลิงก็ไปฝังตัวอยู่ในมดลูก แล้วมีรูปร่างคล้ายหมากฝรั่งที่คนกัด  แล้วมีกี่วันๆในนั้นบอกไว้เยอะเลย ผมอ่านวิทยาศาสตร์ แล้วผมเชื่อเลย เชื่อว่ากุรอานไม่ใช่มนุษย์สร้างแน่ๆ แต่ก็ไม่ได้เลยเถิดนะว่าต้องเข้าอิสลาม  แต่เชื่อว่ากุรอานของแท้แน่ๆ และผมรู้ว่าในนั้นมีการสอนเรื่องการ ญิฮาด มีเรื่องฮิจเราะฮฺ อีมาน  เรื่องมันซับซ้อนมาก  แต่ผมก็เชื่อแล้ว"       ใครจะดับแสงของอัลลอฮฺ?                  “อ่านๆ ไปผมเจออายะฮฺกุรอาน ในซูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ  อายะฮฺที่ 32  ผมอ่านไปเรื่อยๆนะ  แต่ตอนนั้นยังเน้นในเรื่องการญิฮาดนะ  ผมอ่านอัตเตาบะฮฺ  เพราะบอกเรื่องญิฮาดทั้งหมด ไปอ่านเจอที่ว่า มุชรีกีน(ผู้ตั้งภาคี)พยายามจะดับแสงของอัลลอฮฺ  ด้วยปากของพวกเขา      และอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงยินยอม นอกจากจะทรงให้แสงสว่างของพระองค์สมบูรณ์เท่านั้น และแม้ว่าผู้ปฏิเสธจะชิงชังก็ตาม ผมก็คิดไงว่ามุสลิมทั่วๆ ไปนี่เขาไม่ทำอะไรกันเลยเหรอ คืออัลลอฮฺไม่ยอมอยู่แล้ว รู้อยู่แล้วว่ามุชริกีนพยายามจะดับแสงของอัลลอฮฺ แต่อัลลอฮฺไม่ยอม  แล้วก็จะให้แสงมีชัยชนะเหนือศาสนาอื่นด้วยซ้ำไป ผมก็งงว่าสอนขนาดนี้ แล้วมุสลิมไม่ทำอะไรกันเหรอ ผมก็ตัดสินว่าผมเข้าแล้วก็ทำงาน ดีกว่า  คำสอนนี่กินใจผมมากด้วยนะ ว่าอัลลอฮฺไม่ยอมแสดงว่ายังไงก็ชนะ อำนาจของอัลลอฮฺยังไงก็ชนะ อิสลามเหนือทุกศาสนาตามที่อัลลอฮฺบอกไว้ ผมเชื่อขึ้นมาอย่างนั้นเลยแหละ  ช่วงตัดสินใจจะเข้าไม่เข้ามันติดปัญหา ส่วนตัวไงคือผมกินเหล้ามานานแล้ว  ถ้าเข้ามีปัญหาแน่ เพราะอัลลอฮฺห้าม ไว้ว่าบาปหนัก  ผมก็มาเรียนตัฟซีร ตามปกติ แล้วผมก็นัดเชคและหลานผมมาคุย  ผมคุยกับเชคว่าผมตัดสินใจแน่นอน แต่ไม่ใช่ตอนนี้  แต่อีก 6 - 7 เดือนจะเข้า  เชคบอกคุณเข้ามาเลย ไม่เป็นไร เพราะในสมัยซอฮาบะฮฺก็ยังมีบางคนกิน ก็โอเคจำนนด้วยเหตุผล  ก็นัดวันกัน  พอมาถึงวันที่นัดหมายกันวันที่เรียนตัฟซีรนี่แหละ  ตอนขับรถมา สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะ  มันบอกไม่ถูก  พอมาถึงก็กล่าวชะฮาดะฮฺมีสักขีพยาน พอกลับบ้านก็เลิกเหล้าได้เลยตั้งแต่วันนั้น พอเข้าแล้วใจมันเข้มแข็งมาก  ผิดกับ ช่วงที่ผมขับรถมา ใจเราตั้งมั่น  มันบอกไม่ถูกนะ  พอกลับบ้าน  เอาวะ เลิกเลย  เพราะผมกลับบ้านกินทุกวันนะ  แล้วไม่ใช่เพิ่งกินนะ ผมกินตั้งแต่ โน้นน่ะหลังเลือกตั้ง”       อิสลามจริงๆ คืออะไร?                  “ที่ผมเข้ารับอิสลาม ไม่ใช่เพราะเรื่องญิฮาดแล้วนะ ที่ผมอ่านเจอมันมีมากกว่าเรื่องนั้น    ตัฟซีรที่ผมอ่านและฟังมันมีมากกว่าญิฮาด  ญิฮาดสำคัญแต่ไม่ใช่ทั้งหมด  เพราะมีคำอธิบายอีกเยอะที่เราอธิบายไม่ถูก ผมตั้งใจจะศึกษาอัลกุรอานที่เป็นภาษาอาหรับให้ได้และศึกษาปัญหาสามจังหวัดภาคใต้ต่อ  เพราะที่ทำวิจัยมามันยังไม่จบ  เพราะปัญหามันมีทั้งสองฝ่ายทั้งรัฐและในพื้นที่ คือถ้าศึกษามากๆแล้วดูข้อเท็จจริงผมมองว่าสังคมมุสลิมมันตกต่ำและยังไม่ฟื้นนะ อย่างตอนผมสมัครสอบปริญญาโทของวิทยาลัยอิสลาม เขารับสี่คน  แต่มีคนมาสมัครแค่สาม ถ้าอธิบายก็เป็นเพราะสถานการณ์ แต่ไม่ใช่เพราะที่นี่เด็กมุสลิมเยอะแยะจริงๆ เด็กมุสลิมต้องศึกษาให้มากด้วยซ้ำไป ที่ผมเรียนเพราะผมต้องการความรู้ เรียนเพื่อที่จะรู้เพื่อที่จะบอกว่าอิสลามจริงๆคืออะไร      เพราะคำอธิบายที่เป็นชุดดีๆมันไม่มี  หรือมีแล้วแต่ยังไม่พอ  หนังสือประวัติคอลีฟะฮฺสี่คน ผมเคยเห็นอยู่เล่มนึง  หลังจากนั้นก็ไม่มีไง ประวัติศาสตร์อิสลามที่เป็นภาษาไทย ทั้งชุดมันไม่มี  แต่ผมคงทำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะผมไม่มีภูมิหลังการศึกษาศาสนาเยอะแยะ คนมุสลิมเองต้องทำ อย่างที่ผมบอกว่ามุสลิมตกต่ำ เพราะไม่มีใครรู้จักมุสลิม  มุสลิมรู้จักกันเอง แต่คนต่างศาสนิกเขาไม่รู้จัก  หรือมุสลิมที่อยู่ใกล้กับคนต่างศาสนิก ผมก็ไม่รู้ว่าเคยอธิบายอะไรให้เขาบ้าง เราเชื่อว่ามีสิ่งที่ดีกว่าก็ต้องบอกเขา”       มัสญิดถูกสร้างมาเพื่ออะไร?                  “เรื่องมัสญิดเป็นเรื่องสามจังหวัดที่ผมทำวิจัยมา มเชื่อว่าที่มันปัญหาเยอะ  เพราะว่ารัฐมันไม่ใช้ รัฐมองข้ามแล้วก็ไม่ไว้ใจและก็ไปติดใส่แว่นตะวันตกที่มองว่ามัสญิดเป็นที่บ่มเพาะผู้ก่อการร้าย  แต่จริงๆใน อดีตนบีอพยพไปสิ่งแรกที่ท่านทำ คือสร้างมัสญิดกุบาอฺและก็มีมัสญิด   ญะมาอะฮฺที่ละหมาดวันศุกร์และ มัสญิดมะดีนะฮฺ  มัสญิดมาดีนะฮฺ แหล่ะมัสญิดเล็กๆสร้างอาณาจักร อิสลามใหญ่โตแค่ไหน จนมีศาสนาทุกวันนี้เพราะอะไร ที่นั่นคือที่บริหารศาสนาของท่านนบีตั้งแต่แรกทั้ง ด้านการเมือง ศีลธรรม ศาสนา  มากสุดคือใช้สอนศาสนา  สอนสิ่งที่ อัลลอฮฺสั่งใช้เรื่องความประพฤติคุณธรรมของคน  ในยุคคอลีฟะฮฺทั้งสี่ก็เหมือนกันก็ยังวนเวียนอยู่ในมัสญิดทั้งหมด อลีฟะฮฺทั้งสี่ก็เป็นอีหม่ามนำละหมาดอยู่ แต่หลังจากนั้นดูเหมือนว่าผู้นำจะทิ้งมัสญิด  ทำมัสญิดเป็นพิพิธภัณฑ์  ไม่ใช้มัสญิดเป็นโรงเรียน เป็นมหาวิทยาลัย มัสญิดคือศูนย์กลางทั้งหมดของชีวิตมุสลิม  แต่เราลืม จริงๆเป็นอย่างนี้  เจ้าหน้าที่ รัฐไม่เข้าใจ มองเป็นที่บ่มเพาะ  แทนที่จะให้มุสลิมเขาใช้มัสญิดพัฒนาแก้ไขปัญหาให้เต็มที่  ไม่ใช่ทำอันนี้แล้วมันจะแก้ไขได้หมดนะ อันนี้มันก็ส่วนหนึ่ง  แต่ ณ  วันนี้จะใช้ได้หรือเปล่า  ผมไม่รู้ไง  แต่ผมต้องการที่จะวิจัยและบอกคนทั่วไปว่า ในอดีตมัสญิดเป็นแบบนี้ มีหน้าที่อย่างนี้  ไม่ใช่แบบที่ตะวันตกมันบอกว่าเป็นที่ก่อการร้าย เราเชื่อว่ามีอัลลอฮฺอยู่จริง  อัลลอฮฺสร้างมนุษย์ขึ้นมาเพื่อให้อิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺองค์เดียว  แค่ละหมาดห้าหนที่มัสญิดแค่นั้นพอหรือ  มัสญิดถูกสร้างมาเพื่อแค่นั้นหรือ”       จากวารสาร โรตีมะตะบะ ฉบับ ปลากระแป๋ว (คัดจากสเปซ อัซ-ซาบิกูน) //as-sabikoon.spaces.live.com/blog/cns!9D2D979B2DB7D141!187.entry    

المرفقات

2

ปัญญศักย์ (อับดุลฮาดีย์) มุสลิมใหม
ปัญญศักย์ (อับดุลฮาดีย์) มุสลิมใหม