البحث

عبارات مقترحة:

البصير

(البصير): اسمٌ من أسماء الله الحسنى، يدل على إثباتِ صفة...

الخالق

كلمة (خالق) في اللغة هي اسمُ فاعلٍ من (الخَلْقِ)، وهو يَرجِع إلى...

المتين

كلمة (المتين) في اللغة صفة مشبهة باسم الفاعل على وزن (فعيل) وهو...

เรื่องราวการรับอิสลาม : อามีนะฮ์ อัซซิลมี

التايلاندية - ไทย / Phasa Thai

المؤلف ซันไชน์ ، ซุฟอัม อุษมาน
القسم مقالات
النوع نصي
اللغة التايلاندية - ไทย / Phasa Thai
المفردات الدعوة إلى الإسلام - لماذا أسلموا؟ [ قصص المسلمين الجدد ]
เรื่องราวการรับอิสลาม : อามีนะฮ์ อัซซิลมี ผู้อำนวยการของ International Union of Muslim Women "ฉันดีใจมากที่ได้เป็นมุสลิม อิสลามคือวิถีชีวิตของฉัน อิสลามมันเต้นอยู่ภายในจิตใจของฉัน อิสลามเป็นเลือดเนื้อที่ไหลเวียนในร่างกายฉัน อิสลามคือความแข็งแรงของฉัน อิสลามให้ชิวิตที่น่าพิศวงและสวยงามแก่ฉัน และเพียงแค่อัลลอฮฺเบนหน้าอันสง่าผ่าเผยของพระองค์ไปจากฉันเพียงน้อยนิด ฉันคงไม่สามารถมีชิวิตรอดมาได้"

التفاصيل

เรื่องราวการรับอิสลาม : อามีนะฮ์ อัซซิลมีقصة إسلام الأخت أمينة السلميแปลและเรียบเรียงโดย ซันไชน์ตรวจทาน: ซุฟอัม อุษมานمراجعة: صافي عثمانAminah Assilmi (อามีนะฮ์ อัซซิลมี) A girl on a missionซันไชน์ แปลและเรียบเรียง"ฉันดีใจมากที่ได้เป็นมุสลิม อิสลามคือวิถีชีวิตของฉัน อิสลามมันเต้นอยู่ภายในจิตใจของฉัน อิสลามเป็นเลือดเนื้อที่ไหลเวียนในร่างกายฉัน อิสลามคือความแข็งแรงของฉัน อิสลามให้ชิวิตที่น่าพิศวงและสวยงามแก่ฉัน และเพียงแค่อัลลอฮฺเบนหน้าอันสง่าผ่าเผยของพระองค์ไปจากฉันเพียงน้อยนิด ฉันคงไม่สามารถมีชิวิตรอดมาได้"ชีวิตของ อามีนะฮ์ อัซซิลมี..ก่อนและหลังตัดสินใจเปลี่ยนเป็นมุสลิมณ สหรัฐอเมริกา, ในปี 1975 เป็นปีแรกที่มีการใช้คอมพิวเตอร์ในการลงทะเบียนเรียนในวิทยาลัยของเธอ เธอเรียนทางด้านการละเล่น (recreation) หลังจากที่เธอลงทะเบียนเรียนเรียบร้อยแล้ว เธอได้ออกเดินทางไปเมือง Oklahoma เพื่อดูแลธุรกิจของเธอ ด้วยเหตุผลบางประการทำให้เธอเดินทางกลับวิทยาลัยช้ากว่ากำหนดการสองอาทิตย์ เรื่องการเดินทางที่ล่าช้านั้นไม่มีปัญหาสำหรับเธอในเรื่องการทำงาน แต่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจอย่างยิ่งคือ การลงทะเบียนทางคอมพิวเตอร์เกิดความผิดพลาดทำให้เธอได้วิชาที่เธอไม่ได้เลือกไว้ นั่นคือวิชาการละคร วิชาที่นักศึกษาต้องออกไปแสดงต่อหน้าผู้คนปกติแล้วเธอเป็นคนพูดน้อยมาก และจะเป็นคนที่ตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าผู้คน เธอไม่สามารถเปลี่ยนวิชาตัวนี้ได้ เพราะมันเลยกำหนดการไปแล้ว การสอบตกมันก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีแน่นอนเพราะเธอเป็นนักเรียนทุน นั่นก็หมายความว่า การได้ “F“ เป็นเรื่องที่น่าเสี่ยงเกินไปจากคำแนะนำของสามีของเธอ เธอได้ไปหาอาจารย์วิชาการละครเพื่อต่อรองให้เธอได้ทำงานอื่นแทนการแสดงอย่างเช่น การดูแลเครื่องแต่งกายเป็นต้น อาจารย์เธออนุญาติและตกลงให้เธอไปเรียนอีกวิชานึง...เมื่อเธอไปห้องเรียนวิชาดังกล่าว เธอตกใจมาก ในห้องเรียนเต็มไปด้วยนักศึกษาอาหรับและ “อูฐจอมหลอกลวง“ มันเพียงพอสำหรับเธอแล้วจริงๆ เธอกลับบ้านและตัดสินใจว่าจะไม่ไปเรียนในห้องนั้นเด็ดขาด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ท่ามกลางชาวอาหรับ “ไม่มีทางที่ฉันจะนั่งอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยคนนอกศาสนาที่สกปรก!“สามีของเธอเป็นคนที่ค่อนข้างใจเย็น เขาชี้ให้เห็นว่าพระเจ้ามีเหตุผลในทุกๆสิ่งที่พระองค์ได้มอบให้ เธอควรคิดให้มากกว่านี้ก่อนจะตัดสินใจเลิก ในขณะเดียวกันได้เตือนสติให้คำนึงถึงเรื่องทุนการศึกษาที่เธอได้รับด้วย เธอใช้เวลาตัดสินใจเงียบๆอยู่สองวัน ในที่สุดเธอตัดสินใจกลับไปเรียนในห้องเรียนดังกล่าว เธอรู้สึกว่าพระเจ้าได้มอบหน้าที่เผยแพร่ศาสนาต่อเธอ เธอจะต้องเปลี่ยนชาวอาหรับเหล่านั้นให้นับถือศาสนาคริสต์ให้ได้เธอค้นพบว่าเธอมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำให้สำเร็จ ตลอดเวลาเธอจะสนทนากับเพื่อนๆของเธอเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ “ฉันยังคงอธิบายต่อไปว่า เขาเหล่านั้นจะลงนรกและอยู่ในนั้นตลอดไปหากเขาไม่ยอมรับพระเยซูเป็นผู้ปลดปล่อย (personal savior) เขาเหล่านั้นสุภาพมากแต่ก็ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์อยู่ดี ฉันอธิบายพวกเขาว่าพระเยซูรักพวกเรามากและได้ตายบนไม้กางเขนเพื่อช่วยชะล้างบาปของพวกเรา สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องทำคือการยอมรับท่านด้วยจิตใจ“ เขาเหล่านั้นก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนเป็นคริสเตียน ทำให้เธอตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง “ฉันตัดสินใจอ่านหนังสือของพวกเขา เพื่อสามารถอธิบายพวกเขาได้ว่า ศาสนาของพวกเขาไม่ถูกต้องอย่างไร และมูฮัมหมัดเป็นพระเจ้าตัวปลอม"ด้วยปรารถนาของเธอ เพื่อนของเธอคนหนึ่งได้มอบคำภีร์อัลกุรอ่านและหนังสือเกี่ยวกับศาสนาอิสลามแก่เธอ ด้วยหนังสือเหล่านี้ เธอเริ่มทำการศึกษา ซึ่งมันกลายเป็นการศึกษาที่ต่อเนื่องถึงหนึ่งปีครึ่ง เธอได้อ่านอัลกุรอ่านทั้งเล่มบวกกับหนังสือเกี่ยวกับอิสลามอีกสิบห้าเล่ม สลับกันไปสลับกันมากับอัลกุรอ่าน ระหว่างที่เธอทำการศึกษาเกี่ยวกับอิสลามนั้น เธอจะบันทึกไว้ในส่วนที่สามารถเอาคัดค้านได้ และสามารถใช้ในการพิสูจน์เพื่อนๆในห้องเรียนของเธอได้ว่าศาสนาของพวกเขาเป็นศาสนาที่ปลอมอย่างไรก็ตาม สิ่งที่คาดไม่ถึงคือเธอได้เปลี่ยนไปทีละน้อยๆอย่างไม่รู้สึกตัว แต่มันกลับไม่รอดสายตาของสามีเธอ “ฉันเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ แต่มันเยอะพอที่เธอสร้างความรำคาญให้สามีของฉัน เราเคยออกไปนอกบ้านด้วยกันในวันศุกร์และวันเสาร์ เราเคยไปปาร์ตี้ด้วยกัน แต่หลังๆฉันกลับรู้สึกไม่อยากออกไปไหน ฉันเงียบลง และค่อนข้างห่างเหิน“ เธอเลิกดื่มเหล้าและเลิกกินหมู สามีของเธอสงสัยว่าเธอติดพันหนุ่มอื่นอยู่ เพราะ “มันมีแค่เหตุผลเดียว เพื่อผู้ชายเท่านั้นที่ทำให้ผู้หญิงเปลี่ยนแปลงตัวเองได้มากขนาดนี้“ ในที่สุด สามีเธอขอร้องให้เธอออกไปอยู่ที่อื่น“ตอนที่ฉันเริ่มเรียนเกี่ยวกับอิสลาม ฉันไม่ได้คาดหวังว่าจะพบสิ่งที่ฉันต้องการเพื่อการดำเนินชีวิตของฉัน ฉันไม่คิดเลยว่าอิสลามจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของฉัน หรือไม่คิดว่าใครจะสามารถโน้มน้าวจริงใจฉันได้ว่า อิสลามจะทำให้ฉันพบความสันติและมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความรักและปีติ"ตลอดช่วงเวลานั้น เธอยังคงศึกษาเกี่ยวกับอิสลามต่อไป ถึงแม้ว่ามันทำให้เธอเปลี่ยนไปทีละน้อยแต่เธอก็ยังคงเป็นผู้อุทิศตนเพื่อศาสนาคริสต์อยู่ มีอยู่วันหนึ่งซึ่งค่อนข้างทำให้เธอประหลาดใจเป็นอย่างมาก มีคนมาเคาะประตูห้องของเธอ พอเธอเปิดประตู เธอพบชายแต่งกายเป็นอาหรับชื่อว่า อับดุลอาซิส อัลชีค (Abdul-Aziz Al-Sheik) มาพร้อมกับเพื่อนของเขาอีกสามคน มันทำให้เธอรู้สึกรำคาญมากกับการแต่งกายของเขาเหล่านั้น ชุดยาวแบบอาหรับ และสิ่งที่ทำให้เธอตกใจยิ่งกว่าคือเมื่อเธอได้ยินชายคนนั้นพูดว่า เขาคิดว่าเธอพร้อมที่จะเปลี่ยนเข้ารับศาสนาอิสลาม เธอตอบไปว่าเธอเป็นคริสเตียนและไม่ได้มีแผนการที่จะเปลี่ยนศาสนา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เธอก็เชิญคนเหล่านั้นเข้าบ้านเพราะเธอมีคำถามมากมายที่จะถามหากพวกเขามีเวลาหลังจากได้รับคำเชิญจากเธอ ชายเหล่านั้นก็เข้าบ้านของเธอ หลังจากนั้นเธอก็เริ่มถามคำถามต่างๆเกี่ยวกับอิสลามที่เธอได้จดบันทึกไว้แล้วตอนที่เธอศึกษาเกี่ยวกับอิสลาม “ฉันจะไม่ลืมชื่อของชายคนนั้น“ เธอกล่าวว่า อับดุลอาซิส อัลชีคเป็นคนที่อดทนและอ่อนโยนมาก “เขาใจเย็นมากในการสนทนาและตอบทุกๆคำถาม เขาไม่เคยทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันโง่หรือถามคำถามโง่ๆ“ อับดุลอาซิส อัลชีคฟังทุกๆคำถามและโต้แย้งและอธิบายทุกอย่างในเรื่องนั้นๆ “เขาอธิบายว่าอัลลอฮฺได้บอกพวกเราว่า เราต้องศึกษาหาความรู้และการถามคือหนึ่งในหนทางการหาความรู้ เวลาเขาอธิบายแต่ละอย่าง มันเหมือนกับกลีบดอกไม้บานทีละกลีบๆ จนกระทั่งมันบานเต็มที่ เวลาฉันบอกเขาไปว่าฉันไม่เห็นด้วยกับบางเรื่องและบอกด้วยว่าทำไม เขาตอบกลับมาเสมอว่ามันถูกส่วนหนึ่งและเขาได้สอนให้ฉันวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งกว่านั้น และสอนวิธีการมองจากมุมอื่นๆด้วย เพื่อจะได้รับความเข้าใจที่ครบถ้วน“ มันใช้เวลาไม่นานนักสำหรับเธอกับการยอมรับอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับอิสลาม เพราะในความเป็นจริงแล้วภายในใจของเธอ เธอได้ยอมรับมันมานานกว่าหนึ่งปีครึ่งแล้ว ในวันเดียวกันนั้น เธอได้กล่าว ซาฮาดะฮ ต่อหน้าอับดุลอาซิส และเพื่อนของเขา “ฉันขอสาบานว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์" มันเกิดขึ้นในวันที่ 21 May 1977. การเข้ารับศาสนาอิสลาม หรือ ศาสนาอะไรก็ตาม มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเสมอไป ยกเว้นในบางคนเท่านั้น เพราะโดยทั่วไปแล้ว คนๆนั้นต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่จะตามมา มุอัลลัฟอาจจะต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวจากครอบครัวและเพื่อนๆ ถ้าหายไม่ยอมให้ถูกบังคับให้กลับไปนับถือศาสนาที่ครอบครัวนั้นๆนับถืออยู่ ในบางครั้งมุอัลลัฟอาจจะต้องเผชิญกับปัญหาด้านการเงิน เช่นในกรณีที่ถูกให้ออกจากบ้านด้วยเหตุผลการเข้ารับอิสลาม บางคนอาจจะยังคงได้รับความเคารพจากครอบครัวเหมือนเดิมแต่ก็ยังเจอการต่อต้านลึกๆในช่วงแรกๆของการเข้ารับอิสลามแต่สำหรับกรณีของ อามีนะฮ์ อัซซิลมี นั้น สิ่งที่เธอต้องเผชิญหลังจากการเข้ารับอิสลามนั้น มันไม่เคยได้ยินมาก่อน เธอต้องเสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อแลกกับความเชื่อมั่นและศรัทธาในศาสนาอิสลามของเธอ น้อยคนนักที่จะมอบความไว้วางใจต่ออัลลอฮฺเหมือนกับกรณีของเธอ เธอยืนหยัดที่จะเผชิญกับความท้าทายเหล่านั้น เธอตัดสินใจเสียสละสิ่งที่สำคัญยิ่ง ในขณะเดียวกัน เธอยังคงสามารถรักษาท่าทีในเชิงบวกและให้แรงจูงใจต่อผู้คนรอบข้างเกี่ยวกับความงามที่เธอเพิ่งค้นพบและความเชื่อในอิสลามเธอเสียเพื่อนแทบทุกคนของเธอ เพราะเธอ... “ไม่สนุกสนานเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว“ แม่ของเธอไม่ยอมรับกับการเข้ารับศาสนาอิสลามของเธอและยังคงเชื่อมั่นว่าซักวันหนึ่งเธอจะเบื่อและกลับไปเป็นเหมือนเดิม ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคประสาทหรือพี่สาวของเธอนั่นเองคิดว่าเธอมีปัญหาทางด้านจิตใจจนเกือบจะพาเธอไปส่งที่สถาบันโรคจิต ส่วนพ่อของเธอซึ่งปกติแล้วเป็นคนใจที่เย็นมากและเป็นคนที่มีความรู้สูง หลายต่อหลายคนมักจะมาหาพ่อของเธอเพื่อขอคำปรึกษาในปัญหาต่างๆ โดยที่ปกติแล้วพ่อของเธอสามารถให้คำแนะนำกลับไปและทำให้คนเหล่านั้นหายจากความโศกเศร้า แต่สำหรับกรณีของเธอกับการเข้ารับอิสลามนั้น พ่อของเธอตัดสินใจเอาปืนออกมาเพื่อเอามายิงเธอ พ่อของเธอกล่าวว่า “จะดีเสียอีกถ้าเธอตายไป ดีกว่าจะต้องรับความทรมานในนรก"ถึงตรงนี้ เธอไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัว   หลังจากนั้นไม่นานเธอตัดสินใจคลุมฮีญาบ ในวันที่เธอตัดสินใจสวมฮีญาบนั้น เธอถูกไล่ออกจากงาน ทำให้ นอกจากไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัวแล้ว เธอยังไม่มีงานทำอีกด้วย แต่สิ่งเหล่านี้ มันยังไม่ใช่สิ่งที่เธอกล่าวว่าเธอต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวงเธอและสามีของเธอรักกันมาก แต่ในระหว่างที่เธอตัดสินใจศึกษาเกี่ยวกับศาสนาอิสลามนั้น สามีของเธอเข้าใจผิดคิดว่าเธอกำลังมีคนอื่น เพราะเธอเงียบลงและไม่ค่อยออกไปไหน การเปลี่ยนแปลงของเธออยู่ในสายตาของสามีเธอมาตลอดและนั่นทำให้เกิดความสงสัยแก่สามีของเธอ เธอไม่สามารถอธิบายได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของเธอนั้นไม่เกี่ยวกับชายอื่น แต่มันเป็นการยากที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเชื่อได้ว่า ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้โดยที่ไม่เกี่ยวกับชายอื่นเลย ในที่สุดสามีของเธอขอให้เธอออกไปอยู่ที่อื่น ทำให้เธอต้องอยู่คนเดียว หลังจากเธอเข้ารับศาสนาอิสลาม ความสัมพันธ์ยิ่งเลวร้ายลง เธอหนีไม่พ้นกับการหย่าร้าง ในช่วงนั้น ผู้คนไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับอิสลามมากนัก เธอมีลูกเล็กๆอยู่สองคน เธอรักพวกเขามากที่สุด และโดยปกติแล้วสิทธิการเลี้ยงดูบุตรควรจะเป็นของเธอ แต่เธอได้รับการดูหมิ่นอย่างรุนแรงจากศาล เธอถูกปฏิเสธในสิทธิการเลี้ยงดูบุตรเพียงเพราะเธอเปลี่ยนเป็นมุสลิม ก่อนที่ศาลจะตัดสินให้คำชี้ขาด ศาลได้ให้ข้อเสนอเธอเพียงสองประการ เธอต้องเสียสละศาสนาใหม่ของเธอเพื่อแลกกับสิทธิการเลี้ยงดูบุตร ถ้าไม่แล้วเธอจะไม่ได้รับสิทธิการเลี้ยงดุบุตร ศาลให้เวลาในการตัดสินใจของเธอเพียง 20 นาที เธอรักลูกๆของเธอมาก มันเหมือนกับฝันร้ายที่สุดที่แม่คนหนึ่งเคยเจอ กับการขอให้เธอเต็มใจที่จะสูญเสียลูกๆของเธอไป ไม่ใช่แค่เพียงหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี แต่มันเป็นการสูญเสียตลอดไป ในทางกลับกัน เธอก็ไม่สามารถที่จะปกปิดความเป็นจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เธอเพิ่งค้นพบได้ เธอไม่สามารถอยู่อย่างหน้าไหว้หลังหลอกได้ “มันเป็น 20 นาทีที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของฉัน“ เธอได้กล่างตอนที่เธอให้สัมภาษณ์ คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ของลูกๆทุกคน ยิ่งถ้าลูกๆยังเล็กๆแล้ว มันไม่เป็นการยากเลยที่จะจินตนาการเกี่ยวกับความเจ็บปวดเหมือนที่เธอได้รับในทุกๆวินาทีที่ผ่านไป ในช่วง 20 นาทีนั้นที่เธอต้องคิดสำหรับการตัดสินใจ สิ่งที่ทำให้เธอเจ็บปวดมากที่สุดอีกอย่างนึงคือ คุณหมอเคยบอกเธอว่า เพราะเหตุผลบางอย่างเธอจะไม่มีโอกาสตั้งครรภ์ได้อีกต่อไป “ฉันได้ขอพรจากอัลลอฮฺอย่างกับฉันไม่เคยทำมาก่อนเลย ฉันรู้ว่าไม่มีที่ไหนที่ปลอดภัยสำหรับลูกๆของเธอนอกจากที่อัลลอฮฺ ถ้าฉันปฏิเสธพระองค์ ฉันจะไม่มีโอกาสแสดงให้ลูกๆของฉันเห็นถึงคุณค่าของอัลลอฮฺ“ ในที่สุด เธอตัดสินใจไม่ทิ้งศาสนาอิสลาม นั่นทำให้ลูกๆของเธอถูกนำไปมอบให้กับอดีตสามีของเธอสำหรับคนเป็นแม่แล้ว นี่เป็นการเสียสละอันใหญ่หลวง การเสียสละที่ไม่ใช่เพื่อสมบัติพัสถานใดๆ แต่เป็นการเสียสละเพื่อความศรัทธาและความเชื่อมั่นล้วนๆ “ฉันเดินออกจากศาลด้วยการรับรู้ว่า การมีชีวิตโดยปราศจากลูกๆนั้นยากลำบากแค่ไหน หัวใจของฉันบาดเจ็บ แต่กระนั้นก็ตาม ฉันเชื่อมั่นเสมอว่าฉันตัดสินใจถูกต้องแล้ว“ เธอรู้สึกดีขึ้นหลังจากอ่านกุรอ่านบทนี้...“อัลลอฮฺนั้นคือไม่มีผู้ที่ถูกเคารพสักการะใดๆ ที่เที่ยงแท้ นอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงมีชิวิต ผู้ทรงบริหารกิจการทั้งหลาย โดยที่การง่วงนอน และการนอนหลับใดๆ จะไม่เอาพระองค์ สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นของพระองค์ ใครเล่าคือผู้ที่จะขอความช่วยเหลือให้แก่ผู้อื่น ณ ที่พระองค์ได้ นอกจากด้วยอนุมัติของพระองค์เท่านั้นพระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาและสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขา และพวกเขาจะไม่ล้อมสิ่งใด จากความรู้ของพระองค์ไว้ได้นอกจากสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์เท่านั้นเก้าอี้พระองค์นั้นกว้างขวางทั่วชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และการรักษามันทั้งสองก็ไม่เป็นภาระหนักแก่พระองค์ และพระองค์นั้นคือผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงยิ่งใหญ่" (อัล-กุรอ่าน 2:255)“ผ้าคลุมผืนนี้ที่ฉันสวมใส่ เตือนผู้คนที่พบเห็นว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่คุณจะยุ่งเกี่ยวด้วย มันได้แสดงให้เห็นว่าฉันมีความเป็นผู้หญิงด้วยจิตใจ และฉันรู้ว่าฉันมีค่ามากกว่าเป็นเพียงร่างกาย ผ้าคลุมผืนนี้ไม่ใช่การกดขี่เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นที่คุณต้องรู้สึกเห็นใจพวกเรา"“หรือพวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะได้เข้าสวรรค์โดยที่เยี่ยงอย่างของผู้ที่ล่วงลับไปก่อนพวกเจ้ายังมิได้มายังพวกเจ้าเลย ซึ่งบรรดาความลำบากและความเดือดร้อนได้ประสบแก่พวกเขาและพวกเขาได้รับความหวั่นไหวจนกระทั่งรอซูลและบรรดาผู้ศรัทธาซึ่งอยู่กับเขากล่าวขึ้นว่า เมื่อไรเล่าการช่วยเหลือของอัลลอฮฺ? พึงรู้เถิดว่าแท้จริงการช่วยเหลือของอัลลอฮฺใกล้อยู่แล้ว“ (อัล-กุรอ่าน 2:214)บางทีบรรยากาศของความยุติธรรมที่ Colorado ยังเบาบางเกินไป บางทีอัลลอฮฺมีโครงการที่ใหญ่กว่านั้นก็ได้ หลังจากนั้นไม่นาน อามีนะฮ์ อัซซิลมี กลับไปต่อสู้คดีในศาลอีกครั้งและนำกรณีของเธอสู่สื่อมวลชน ถึงแม้ว่าในที่สุดเธอก็ยังไม่ได้รับสิทธิในการเลี้ยงดูบุตร แต่ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการยุติธรรม ถึงกรณีการตัดสิทธิการเลี้ยงดูบุตรไม่ควรตัดสินบนพื้นฐานของศาสนา แน่นอนความรักที่มีต่ออัลลอฮฺได้กลืนสู่จิตใจของเธอมากเหลือเกิน ไม่ว่าเธอจะไปไหน ผู้คนจะได้สัมผัสถึงความสวยงามและกิริยาท่าทางต่างๆตามวิถีอิสลาม และทำให้คนจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนเข้ารับศาสนาอิสลามเพราะการเข้ารับอิสลามของเธอ เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างในตัวเธอในทางที่ดี เธอเปลี่ยนเป็นคนที่ดีกว่าเดิม มันมากจนทำให้ครอบครัวของเธอ ญาติพี่น้องของเธอ และผู้คนรอบๆตัวเธอ เริ่มเกิดความประทับใจในความเสมอต้นเสมอปลายของเธอ เกิดความประทับใจในความศรัทธาต่อศาสนาที่มีในตัวเธอซึ่งทำให้เธอเปลี่ยนแปลงได้มากขนาดนี้ ถึงแม้ว่าครอบครัวของเธอปฏิบัติต่อเธอไม่ค่อยดีนักในตอนแรกที่ทราบเรื่องของเธอ แต่เธอก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันเหมือนเดิม เธอยังคงเคารพพวกเขาโดยปราศจากความเย่อหยิ่ง เหมือนอย่างที่กุรอ่านสอนให้มุสลิมประพฤติตน เธอมักจะส่งการ์ดถึงพ่อแม่ของเธอตามโอกาสต่างๆ และแทบทุกครั้งไป เธอจะเขียนคำแปลกุรอ่านหรือไม่ก็คำแปลซุนนะฮลงไปในการ์ด โดยเธอจะไม่เขียนถึงที่มาของข้อความอันสวยงามนั้นๆ  เวลาผ่านไปไม่นาน สมาชิกคนแรกในครอบครัวของเธอที่ตัดสินใจเข้ารับอิสลามตามหลังเธอคือคุณย่าซึ่งอยู่ในวัยกว่า 100 ปี ของเธอนั่นเอง หลังจากที่ย่าของเธอเข้ารับอิสลามไม่นาน ย่าของเธอก็จากโลกนี้ไป “ในวันที่คุณย่ากล่าวซาฮาดะฮนั้น บาปต่างๆก็ถูกลบล้างไปหมดสิ้น ในขณะที่บุญต่างๆยังคงอยู่ คุณย่าได้เสียไปไม่นานหลังจากเข้ารับอิสลาม ซึ่งทำให้ฉันทราบว่า หนังสือเล่มที่บันทึกความดีของคุณย่าคงจะหนักน่าดู มันทำให้ฉันมีความสุขมากๆ"คนต่อไปในครอบครัวของเธอที่เข้ารับอิสลามคือ คุณพ่อของเธอนั่นเอง คุณพ่อที่ครั้งหนึ่งเกือบจะฆ่าเธอไปแล้ว การเข้ารับอิสลามของพ่อเธอ ทำให้นึกถึงเรื่องราวการเข้ารับอิสลามของท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ท่านอุมัรคือเศาะหาบะฮฺของท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ซึ่งเคยเป็นคนที่ตามจองเวรเหล่ามุสลิมยุคแรกๆก่อนที่ท่านจะเข้ารับอิสลาม วันหนึ่งท่านทราบข่าวการเข้ารับอิสลามของน้องสาวท่าน ท่านออกไปโดยในมือมีดาบอยู่ มุ่งหน้าไปเพื่อจะฆ่าน้องสาวท่าน แต่เมื่อท่านได้ฟังกุรอ่านจากการอ่านของน้องสาวท่าน ท่านรับรู้ถึงความจริงและได้ตัดสินใจไปยังท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม เพื่อเข้ารับอิสลามในทันที สองปีหลังจากที่เธอเข้ารับอิสลาม แม่ของเธอได้โทรหาเธอ แม่ของเธอกล่าวว่าเธอประทับใจในความศรัทธาของอิสลามและหวังว่าเธอ (อามีนะ) จะรักษามันไว้อย่างนั้นตลอดไป สองปีให้หลัง แม่ของเธอโทรมาอีกครั้งเพื่อถามว่า ถ้าคนๆนึงต้องการเปลี่ยนเป็นมุสลิม ต้องทำอย่างไรบ้าง? อามีนะฮตอบไปว่า คนๆนั้นจะต้องสาบานว่าไม่มีพระเจ้าอื่นได้นอกจากอัลลอฮฺและมูฮัมหมัดคือศาสนทูตของพระองค์ แม่ของเธอกล่าวว่า “เรื่องนี้แม้แต่คนโง่ก็ทราบ แต่ฉันต้องการถามว่ามันจะต้องทำอะไรอีกบ้าง?“ เธอตอบแม่ของเธอไปว่า ถ้านั่นเป็นสิ่งที่คนๆนั้นเชื่อและศรัทธา คนๆนั้นได้เป็นมุสลิมแล้ว ถึงตรงนี้แม่ของเธอกล่าวว่า “งั้นเหรอ? งั้นก็อย่าเพิ่งบอกพ่อของเธอหล่ะ“ ตกลงแม่ของเธอไม่ทราบเลยว่า ณ ตอนนั้น สามีของเธอ (พ่อเลี้ยงของอามีนะฮ) ได้คุยกับอามีนะฮในทำนองเดียวกันประมาณสองสามอาทิตย์ก่อนหน้านั้นแล้ว ตกลงสองคนนี้เป็นมุสลิมกันอย่างลับๆมากว่าปีโดยที่ต่างคนต่างเก็บเป็นความลับหกปีหลังจากได้หย่าจากสามีของเธอ อดีตสามีของเธอก็เข้ารับอิสลาม เขาได้กล่าวว่า ได้ติดตามดูเธอมาตลอดหกปี และต้องการให้ลูกสาวเขามีศาสนาเดียวกับเธอ เขาได้มาหาเธอและได้กล่าวคำขอโทษและขอให้เธอให้อภัยเขา เขาเป็นคนดีและสุภาพมากซึ่งอามีนะฮเองนั้นได้ให้อภัยเขามานานแล้วในเรื่องนั้นบางทีสิ่งตอบแทนจากพระเจ้าที่ดีที่สุดเพิ่งตามมาเป็นอันดับสุดท้ายต่างหาก นั่นคือหลังจากที่เธอได้แต่งงานกับชายคนหนึ่ง ในขณะที่หมอเคยบอกเธอไปแล้วว่าเธอจะไม่มีโอกาสตั้งครรภ์ได้อีก แต่อัลลอฮฺได้ตอบแทนเธอด้วยการตั้งครรภ์อีกครั้งและเธอได้บุตรชาย ถ้าอัลลอฮฺต้องการตอบแทนใครสักคน ใครจะห้ามได้? มันเป็นพรจากอัลลอฮฺอันมหัศจรรย์มาก เธอตัดสินใจตั้งชื่อบุตรของเธอว่า บารอกะฮฺ“มันไม่ได้ใช้เวลานานเลยที่ทำให้ฉันรับรู้ถึงพรอันประเสริธจากอัลลอฮฺ ฉันได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการแบ่งปันความจริงเกี่ยวกับอิสลามกับคนรอบข้าง มันไม่สำคัญเลยที่คนทั่วไปไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือไม่ จะเห็นด้วยหรือเข้าใจฉัน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันคือการยอมรับจากอัลลอฮฺเท่านั้น ถึงตอนนี้ฉันพบว่าหลายต่อหลายคนรักฉันโดยที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยเหตุผลมากมาย ฉันมีความสุขมากเพราะฉันจำได้ว่าถ้าอัลลอฮฺรักใคร พระองค์จะทำให้คนอื่นๆ รักคนๆ นั้นด้วย ฉันไม่ได้มีค่ามากมายจนควรค่าแก่ความรักเหล่านั้นหรอก แต่ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งตอบแทนที่มาจากอัลลอฮฺต่างหาก อัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่"ความเสียสละที่ อามีนะฮ์ อัซซิลมี ได้ทำไปเพื่ออัลลอฮฺนั้นยิ่งใหญ่มาก อัลลอฮฺจึงตอบแทนด้วยความเมตตาและรางวัลอันยิ่งใหญ่ ครอบครัวของเธอได้ทิ้งเธอไปหลังจากที่เธอเข้ารับอิสลาม แต่ด้วยความเมตตาจากอัลลอฮฺ ในที่สุดสมาชิกในครอบครัวเธอส่วนใหญ่เข้ารับอิสลามเหมือนกัน เธอเสียเพื่อนๆไปหลังจากเข้ารับอิสลาม ในขณะที่ตอนนี้เธอเป็นที่รักของหลายต่อหลายคน เธอกล่าวว่า “เพื่อนๆที่รักเธอไม่ทราบว่ามาจากไหนมากมาย“ อัลลอฮฺให้ความเมตตาเธอมากมายจนไม่ว่าเธอจะไปไหนทุกๆคนรับรู้ถึงความสวยงามของอิสลามและยอมรับถึงความจริงในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคนต่างศาสนิกและมุสลิมเอง ต่างมาหาเธอเพื่อขอคำปรึกษาและคำแนะนำเธอสูญเสียงานไปหลังจากเข้ารับอิสลาม แต่ตอนนี้เธอเป็นผู้อำนวยการของ International Union of Muslim Women เธอมีโอกาสให้บรรยายธรรมในหลายต่อหลายแห่งทั่วทั้งประเทศและเธอยังคงเป็นที่ต้องการสูง องค์กรของเธอประสพความสำเร็จในการผลักดันให้มีแสตมป์วันอีด (Eid Stamp) และได้รับการยอมรับจาก United States Postal Service ถึงแม้จะต้องใช้เวลาในการผลักดันหลายปี ในขณะนี้เธอกำลังผลักดันให้วันอีดของอิสลามเป็นหนึ่งในวันหยุดแห่งชาติเธอมีความเชื่อมั่นต่ออัลลอฮฺเป็นอย่างสูง เชื่อมั่นต่อความเมตตาของพระองค์ เธอไม่เคยสูญเสียความศรัทธาในตัวพระองค์เลย ครั้งหนึ่งเธอได้รับผลการตรวจสุขภาพว่าเธอมีมะเร็ง คุณหมอบอกเธอว่าเธออาจจะอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี แต่ความศรัทธาของเธอที่มีต่ออัลลอฮฺนั้นไม่ได้ลดน้อยลงเลย “เราทุกคนยังงัยก็ต้องตาย ฉันเชื่อมั่นว่าความเจ็บปวดของฉันเป็นหนึ่งในความเมตตาที่อัลลอฮฺมอบให้“ มีอุทาหรณ์อันยิ่งใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความรักของคนๆนึงที่มีต่ออัลลอฮฺอย่างมายมาย เธอได้กล่าวถึงเพื่อนคนหนึ่งที่มีชื่อว่า การิม อัลมูซาวี ผู้ซึ่งในที่สุดได้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งในวัยเพียง 20 “ก่อนหน้าที่เขาจะเสียชีวิตได้ไม่นาน เขาได้บอกเธอว่า อัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ซึ่งมีความเมตตา ชายคนนี้ได้รับความเจ็บปวดจากโรคมะเร็งอย่างมาก แต่เขายังได้รับความรักที่ทอแสงจากอัลลอฮฺ เขาได้บอกว่า อัลลอฮฺคงมีความตั้งใจให้ฉันได้เข้าสวรรค์ด้วยสมุดบันทึกใสสะอาด การเสียชีวิตของเขาสอนให้ฉันได้คิด เขาสอนฉันถึงความรักและความเมตตาจากอัลลอฮฺ“ ขอความสรรเสริญจงมีแด่อัลลอฮฺ ในขณะนี้เธอยังคงมีชีวิตอยู่ด้วยสุขภาพที่แข็งแรง เธอคิดว่าการมีมะเร็งในตัวเธอเป็นความเมตตาจากอัลลอฮฺอย่างสูงสุดอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน เรื่องราวความศรัทธาและบทลงโทษที่ อามีนะฮ์ อัซซิลมี ได้รับนั้นเป็นเรื่องราวที่ทำให้เรียนรู้ถึงบททดสอบและความสำเร็จที่ตามมาภายหลัง มันเป็นเรื่องราวของความสำเร็จที่มาจากความศรัทธาของเธอต่ออัลลอฮฺ เป็นเรื่องราวที่ให้แรงบันดาลใจต่อพวกเราเป็นอย่างมาก เป็นเรื่องราวของความเชื่อมั่นและไว้ใจต่ออัลลอฮฺ เป็นเรื่องราวของความรักและเมตตาจากอัลลอฮฺ และเป็นเรื่องราวที่แสดงให้เห็นถึงความจริงของสัญญาจากอัลลอฮฺ “จริงอยู่ อัลลอฮฺได้ทดสอบฉันอย่างที่พระองค์ได้สัญญาไว้ แต่สิ่งตอบแทนจากพระองค์ที่ฉันได้รับมันมากเกินกว่าคนๆนึงจะคาดหวังไว้“ ขอให้อัลลอฮฺแสดงถึงความรักความเมตตาและความกรุณาต่อมุสลิมะฮ์ท่านนี้ต่อไป ขอให้อัลลอฮฺตอบแทนเธอให้เธอมีชีวิตที่ยืนยาวและสามารถสร้างผลงานทางศาสนาอิสลามต่อไป ขอให้อัลลอฮฺให้ประโยชน์แก่คนทั่วๆไปจากเรื่องราวของเธอ และขอให้ชี้นำจิตใจคนเหล่านั้นได้รับทราบถึงความเป็นจริง ความรัก และความเมตตาของพระองค์.เว็บไซต์ต้นฉบับภาษาอังกฤษ : http://www.famousmuslims.com/Aminah%20Assilmi.htm

المرفقات

2

เรื่องราวการรับอิสลาม : อามีนะฮ์ อัซซิลมี
เรื่องราวการรับอิสลาม : อามีนะฮ์ อัซซิลมี