เรื่องเล่าสะท้อนสภาพของมุสลิมกับการเฉลิมฉลองเทศกาลของผู้อื่น ในขณะที่สังคมมุสลิม ทั้งหนุ่มสาวและผู้ใหญ่ ต่างก็ร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาลต่างๆ ของศาสนิกอื่น เรากลับไม่พบว่ามีใครที่ไม่ใช่มุสลิมมาร่วมเฉลิมฉลองในวันอีดของเราเลย ... เรื่องเล่านี้จะสะกิดให้ทุกคนได้ตระหนักถึงสภาพอันน่าหดหู่ และอาจจะทำให้คิดได้จนเกิดการเปลี่ยนแปลงในที่สุด
التفاصيل
> > > > เรื่องเล่า “จอร์จ กับ วันอีด” “... จอร์จเป็นชายอเมริกันร่างใหญ่ไหล่กว้าง อายุมากกว่าห้าสิบแต่ยังมีสุขภาพที่ดีและยังแข็งแรงอยู่ เขาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเล็กๆ ตอนเหนือของวอชิงตัน แม้ว่าจะมีปัจจัยความทันสมัยที่ดึงดูดมากมายในที่อื่นแต่เขาก็ยังชอบที่จะมีชีวิตกับครอบครัวของเขาในเมืองนี้ กลางวันเขาทำงานส่งของและพอถึงกลางคืนเขาจะกลับไปยังบ้านอันน่ารักเพื่อมีความสุขกับความสงบเงียบที่บ้านพร้อมๆ กับภรรยา ลูกสาวสองคน และลูกชายอีกหนึ่งคนที่เพิ่งจบไฮสคูลและกำลังวางแผนจะเข้ามหาวิทยาลัย เมื่อถึงเดือนซุลหิจญะฮฺ จอร์จและลูกเมียของเขาต่างเฝ้าติดตามข่าวกระจายเสียงจากวิทยุอิสลามด้วยอยากรู้และใจจดใจจ่อว่าเดือนซุลหิจญะฮฺจะเริ่มต้นวันไหน พวกเขาคิดว่าเป็นการดีมากถ้ามีเบอร์โทรศัพท์ของสถานทูตประเทศอิสลามสักเบอร์เพื่อโทรศัพท์ถามว่าเมื่อไรเป็นวันอะเราะฟะฮฺและวันอีดอัฎหา เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากๆ สำหรับครอบครัวเขา ผู้เป็นพ่อก็เงี่ยหูฟังวิทยุ ส่วนแม่ก็เฝ้าติดตามข่าวจากทีวีผ่านดาวเทียม ในขณะที่ลูกชายก็ง่วนกับการติดตามข่าวดังกล่าวจากเว็บไซต์อิสลามต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต จอร์จดีใจอย่างลิงโลดเมื่อได้ยินข่าวประกาศวันเริ่มต้นของเดือนซุลหิจญะฮฺจากวิทยุของเขา เสียงประกาศจากวิทยุบอกวันอะเราะฟะฮฺและวันอีดได้ยินอย่างชัดเจน และมีเสียงตักบีรฺของชาวมุสลิมดังไปทั่วให้เขาได้ยินด้วย จอร์จรีบไปเอาเงินที่เขาอุตส่าห์เก็บสะสมมาทั้งปี วันรุ่งขึ้นเขาบอกว่า "วันนี้ฉันต้องไปหาแกะจากตลาดทางเมืองฝั่งตะวันออกมาสักตัว" หลังจากที่ต่อรองกับพ่อค้าได้สำเร็จ เขาก็ตกลงซื้อแกะมาตัวหนึ่ง ตัวโตปานกลางด้วยราคาที่สูงมากแม้จะต่อรองแล้วก็ตาม เมื่อนับเงินดูว่ายังไม่ครบเขาต้องมองหาตู้เอทีเอ็มที่ใกล้ที่สุดเพื่อถอนเงินให้พอที่จะใช้ซื้อแกะตัวนั้น เพราะเขาต้องการเชือดมันด้วยมือตัวเอง และต้องการร่วมทำพิธีกรรมอุฎหิยะฮฺอิสลามนี้ให้ได้ .. จอร์จลูบแกะที่เขาซื้อมาด้วยความพอใจและยกมันขึ้นรถด้วยความช่วยเหลือของลูกๆ เจ้าแกะเริ่มออกเสียงร้องแอะๆ ลูกสาววัยห้าขวบของจอร์จร้องตามเสียงมันด้วยความสนุกตามประสาเด็ก เธอบอกพ่อของเธอว่า “แด๊ดดี้คะ วันอีดน่าสนุกจังเลยนะคะ หนูจะได้เล่นกับเพื่อนๆ ที่เป็นผู้หญิงของหนู ไม่ต้องเล่นกับเด็กผู้ชาย เราจะได้ร้องเพลงอะนาชีด หนูจะไปละหมาดอีดกับแด๊ดด้วยนะ แล้วหนูก็จะใส่ชุดสวยอันใหม่ของหนูและมีผ้าคลุมหัวด้วยล่ะ ... บางทีหนูอาจจะปิดหน้าด้วยก็ได้ เพราะหนูโตแล้วนะ ... อืม วันอีดอัฎหาปีนี้ช่างเป็นช่วงที่มีความสุขจังเลย เราจะได้ตัดเนื้อแกะด้วยมือของเราเอง แล้วนำไปแจกเพื่อนบ้านและเพื่อนๆ ของเรา เราจะได้ไปเยี่ยมคุณป้าและเล่นกับลูกๆ ของคุณป้าด้วย ... แด๊ดดี้คะ ถ้าตลอดปีมีแต่อีดิลอัฎหาน่าจะดีมากเลยนะคะ” ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเบิกบานเมื่อได้ฟังเด็กผู้หญิงพูดเสียงเจื้อยแจ๊วเหมือนนกน้อยที่ขับขาน ความสุขของผู้เป็นพ่อนั้นเห็นได้ชัดเจน ขณะที่เขาหันกลับไปมองแกะที่อยู่ข้างหลังรถอย่างรวดเร็ว เพื่อให้แน่ใจว่าแกะที่เขาซื้อมานั้นตรงตามลักษณะที่ใช้เชือดกุรบ่านได้ถูกต้องตามหลักศาสนบัญญัติ ซึ่งมันเป็นแกะที่สมบูรณ์ไม่ตาบอด ไม่พิการและไม่ผอมโซ ... เมื่อถึงบ้านและรถได้จอดสนิท ภรรยาของจอร์จก็ออกมาต้อนรับพร้อมกับเสียงเรียกสามีของนางอย่างตื่นเต้นว่า “ที่รัก ฉันรู้แล้วว่าเนื้ออุฎหิยะฮฺนี้เราต้องแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งเราต้องบริจาคให้คนยากจน อีกส่วนเราใช้เป็นของขวัญแจกเพื่อนบ้าน ส่วนสุดท้ายเราจะเก็บเอาไว้กินเองในครอบครัวสำหรับสัปดาห์ที่จะมาถึง” เมื่อถึงเวลากำหนดเชือดแกะเพื่อทำอุฎหิยะฮฺ ทั้งจอร์จและภรรยาต่างก็วุ่นวายสับสนว่าทางไหนเป็นทางกิบลัต แล้วพวกเขาก็คิดว่ากิบลัตนั้นน่าจะหันไปทางประเทศซาอุดี เท่านี้ก็คงพอแล้ว ... จอร์จเตรียมมีดที่ลับจนคมกริบ แล้วเขาก็จับแกะตัวนั้นหันไปทางกิบลัตและจัดการเชือดมันอย่างรวดเร็วและนิ่มนวล จากนั้นภรรยาของเขาก็จัดการแบ่งเนื้ออุฎหิยะฮฺออกเป็นสามส่วนตามแบบอย่างของสุนนะฮฺ นางทำเสร็จได้อย่างรวดเร็วมาก ... แต่แล้วสามีของนางก็ตะเบ็งเสียงด้วยความโมโหว่า “เอ้า เร็วเข้า เราต้องรีบไปโบสถ์แล้ว วันนี้วันอาทิตย์นะ !!” จอร์จเป็นคนที่เคร่งมาก เขาไม่เคยพลาดที่จะไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์และต้องพาครอบครัวไปด้วยเสมอ ... ... “ คนพูดหยุดเล่าเรื่องเพียงเท่านี้ แล้วหนึ่งในจำนวนคนที่นั่งฟังอยู่ก็ถามขึ้นว่า “ท่านทำให้เราสับสนมาก ตกลงจอร์จในเรื่องนี้เป็นมุสลิมหรือนับถือศาสนาอะไรกันแน่ ??” คนเล่าเรื่องตอบว่า “ทั้งจอร์จ ภรรยาและครอบครัวของเขาทุกคนเป็นคริสเตียน เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ไม่เชื่อต่ออัลลอฮฺผู้ทรงเอกะ ไม่ศรัทธาต่อศาสนทูตของพระองค์ด้วย แล้วยังคิดว่าพระเจ้านั้นทรงมีลักษณะเป็นตรีเอกานุภาพ – ซึ่งจริงๆ พระองค์นั้นทรงบริสุทธิ์และสูงส่งจากสิ่งนั้นยิ่งนัก – พวกเขาต่างปฏิเสธนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และยังเป็นศัตรูกับอัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ด้วย !!“ คำตอบนั้นทำให้เกิดเสียงฮือฮาฟังไม่ได้ศัพท์ในวงสนทนานั้น จนกลายเป็นเสียงดังและมีคนผู้หนึ่งแสดงอาการเสียมารยาทพูดออกมาว่า “อย่ามาพูดโกหกกับเราน่ะอะหมัด ใครจะไปเชื่อว่าจอร์จและครอบครัวของเขาจะทำอย่างนั้น !!“ แล้วสายตาทั้งหมดก็มองมายังคนเล่าเรื่องอย่างเหยียดหยัน พร้อมกับคำพูดและเสียงหัวเราะที่แสดงความความขบขันออกมา ในที่สุดก็มีผู้ที่ฉลาดที่สุดในหมู่พวกเขาคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “แท้จริง สิ่งที่ท่านเล่ามานั้นไม่ใช่เรื่องจริง และเราก็ไม่เชื่อว่ากาฟิรฺคนหนึ่งอย่างชายที่ท่านเล่าจะลุกขึ้นมาปฏิบัติศาสนกิจของอิสลามหรอก จนกระทั่งถึงกับว่ามีการติดตามข่าวสารทางวิทยุเพื่อจะทราบว่าเมื่อไรจะมีวันอีด แล้วไหนยังจะจ่ายเงินเพื่อบริจาคกุรบ่านอีก ..!“ คนเล่าเรื่องเริ่มพูดแก้ต่างให้กับตัวเอง ด้วยคำพูดแสดงอาการแปลกใจพร้อมด้วยรอยยิ้ม “พี่น้องที่รักทั้งหลายของฉัน ทำไมพวกท่านจึงไม่เชื่อเรื่องที่ฉันเล่าให้พวกท่านฟังเล่า ? ทำไมพวกท่านไม่ยอมเชื่อว่ามีเหตุการณ์เยี่ยงนี้เกิดขึ้นจากกาฟิรฺผู้ไม่ศรัทธา ? ก็ในเมื่อในสังคมของเราเองก็มีคนที่ชื่ออับดุลลอฮฺ, อับดุรเราะห์มาน, เคาะดีญะฮฺ, อาอิชะฮฺ ฯลฯ ที่ร่วมฉลองรื่นเริงในเทศกาลของพวกกาฟิรฺที่ไม่ใช่มุสลิม แล้วเหตุไฉนคนที่ไม่ใช่มุสลิมจะลุกขึ้นเฉลิมฉลองในวันอีดของเราด้วยไม่ได้ ? ทำไมพวกท่านต้องแปลกใจด้วยล่ะ ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ใช่ไหมเล่า ? พวกเราบางคนอุตส่าห์หาดอกกุหลาบสวยๆ เพื่อวันแห่งความรัก หลายต่อหลายคนที่สนุกสนานเฮฮากันในการฉลองวันขึ้นปีใหม่ แล้วยังมีวันเกิด วันโน่น วันนี่ วันต่างๆ ของกาฟิรฺมากมายเต็มไปหมด แล้วทำไมพวกท่านจึงต้องหาเรื่องกับจอร์จเล่าถ้าเขาจะทำแบบนี้ แต่กลับไม่พูดอะไรเลยเมื่อเห็นลูกหลานของพวกท่านเข้าไปร่วมสนุกกับงานฉลองต่างๆ ของพวกเขา ? ถ้าพวกท่านทั้งหลายแปลกใจกับพฤติกรรมของจอร์จผู้นี้แล้วไซร้ ฉันเองก็แปลกใจกับพฤติกรรมของลูกหลานเราที่นับถือศาสนาแห่งเตาฮีด เหตุไฉนเล่ามันถึงส่อให้เห็นถึงความล้าหลังและห้อยตามคนอื่นเยี่ยงนี้ !” เสียงฮือฮายิ่งดังขึ้นไปอีก พร้อมๆ กับสายตาเดือดดาลที่ต่างจ้องมองมาอย่างอะหมัด สุดท้ายเขาก็พูดว่า “จงเงียบเถิด คราวนี้ฉันจะเล่าเรื่องที่ท่านต้องไม่ปฏิเสธฉันอีกแน่ ... มีเด็กสาวคนหนึ่งในประเทศนี้ชื่ออาอิชะฮฺ เป็นชื่อที่พ่อของเธอตั้งให้กับเธอให้เหมือนกับชื่อของอุมมุล มุอ์มินีน อาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ภรรยาของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เมื่อเด็กสาวผู้นี้รู้ว่าวันวาเลนไทน์ใกล้เข้ามาแล้ว - ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันเป็นวันฉลองของพวกโรมันที่เคารพเทพเจ้า เป็นวันที่ผู้ไม่ใช่มุสลิมต่างเฉลิมฉลองกันทุกปีและยังเป็นวันที่หนุ่มสาวมักจะมีความสัมพันธ์ที่เสียๆ หายๆ กันเป็นว่าเล่น – เธอก็รีบรุดไปที่ร้านขายดอกไม้เพื่อซื้อดอกกุหลาบราคาแพงมาช่อใหญ่ ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้มีเงินมากมาย แต่ก็ยอมจ่ายให้กับกุหลาบตะกร้านี้ แล้วเอาดอกกุหลาบเสียบไว้ที่เสื้อบนหน้าอกของเธอ วันนั้นเธอยังสวมชุดสีแดง พกกระเป๋าสีแดง และยังใส่รองเท้าแดงอีกด้วย ... ! นี่คือเด็กสาวอาอิชะฮฺที่ยอมทำสิ่งเหล่านี้ พวกท่านเชื่อหรือไม่ ?” คนที่นั่งฟังต่างก็ขานตอบด้วยความแปลกใจระคนเจ็บปวดว่า “ใช่ ลูกหลานสาวๆ ของพวกเราบางคนทำอย่างนั้นจริงๆ ด้วย แล้วยังเป็นความนิยมที่เห็นชัดเจนทีเดียว” แล้วอะหมัดก็ยกมือขึ้นโบกและบอกว่า “ฉันใช้ชีวิตที่อเมริกามากกว่าสิบปี ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ว่าไม่มีกาฟิรฺคนใดเลยที่เข้าร่วมฉลองอีดกับพวกเรา ฉันไม่เคยเห็นใครซักถามถึงเทศกาลและวันฉลองของเราเลยสักครั้ง แม้แต่อีดุลฟิฏรฺของฉันเอง ฉันก็ทำได้แค่ฉลองในห้องพักเล็กๆ ของฉันเท่านั้น ไม่มีใครตอบรับคำเชิญของฉันเลยเมื่อรู้ว่าฉันจัดงานฉลองเทศกาลตามศาสนาอิสลาม ! ฉันเคยใช้ชีวิตอยู่ในประเทศตะวันตก และฉันเห็นกับตาทุกสิ่งที่ฉันพูดมา แต่แล้วเมื่อฉันกลับมายังประเทศของฉัน ฉันกลับได้เห็นว่าพวกเราซะอีกที่ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลของพวกเขา ทั้งๆ ที่มันมีแต่บาปและสิ่งที่ผิด ! ในขณะที่ชาวมุสลิมบางคนไม่ได้ความสนใจใดๆ เลยกับเอกลักษณ์ของอิสลามในวันอีด ปีที่แล้วพวกวัยรุ่นบางคนของเราไม่ได้เข้าร่วมแม้แต่ละหมาดอีดด้วยซ้ำ แต่พอถึงวันฉลองของพวกกาฟิรฺเราต้องหมดเงินไปเท่าไรกับการซื้อของขวัญต่างๆ การรื่นเริงเฉลิมฉลองวันอีดนั้นเป็นเอกลักษณ์ตามหลักศาสนาที่เห็นชัดเจนและเป็นคุณลักษณะเฉพาะของประชาชาตินี้ แต่ว่า เราก็ปลีกออกจากอิบาะฮฺที่เราใช้เพื่อเข้าใกล้ชิดอัลลอฮฺ และกลับไปจมปลักอยู่กับความล้าหลังและการห้อยตามวันฉลองต่างๆ ของพวกกาฟิรฺผู้เป็นศัตรูของอิสลาม ... อิบนุ ตัยมียะฮฺได้กล่าวว่า “ไม่อนุญาตให้มุสลิมเลียนแบบพวกเขา – คือเลียนแบบกาฟิรฺผู้ไม่ใช่มุสลิม – ไม่ว่าในเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับวันเฉลิมฉลองของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร การแต่งกาย การอาบน้ำ การจุดไฟ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันหรืออิบาดะฮฺ หรืออื่นๆ ไม่อนุญาตให้จัดเลี้ยง มอบของขวัญ หรือซื้อขายสิ่งที่ใช้เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว ไม่ปล่อยให้เด็กๆ เล่นรื่นเริงในงานฉลองพวกนั้น และไม่ใส่เครื่องประดับหรือแต่งกายสวยงาม โดยรวมแล้วไม่อนุญาตให้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเฉพาะเพื่อการฉลอง หรือแสดงถึงเอกลักษณ์ของวันฉลองของพวกเขาเหล่านั้น ทว่าวันสำคัญของพวกเขาสำหรับมุสลิมก็เปรียบเหมือนวันปกติทั่วๆ ไปเท่านั้น” และ อิบนุล ก็อยยิม ได้กล่าวว่า “การอวยพรในสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกาฟิรฺนั้นเป็นที่ต้องห้ามโดยทัศนะที่เห็นพ้องระหว่างอุละมาอ์ เช่น การอวยพรเนื่องในโอกาสเทศกาลเฉลิมฉลองหรือเทศกาลถือศีลของพวกเขา ด้วยการกล่าวเยี่ยงว่า ขอให้เทศกาลนี้เป็นความจำเริญแก่ท่าน หรือขออวยพรให้ท่านโชคดีในโอกาสนี้ เป็นต้น การทำเช่นนี้ถึงแม้ว่าผู้พูดจะปลอดภัยจากการตกในกุฟรฺแต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามที่ใหญ่หลวง มันเปรียบเหมือนการอวยพรให้คนที่กราบต่อหน้าไม้กางเขน การอวยพรตามที่เรากล่าวถึงนั้นใหญ่หลวงกว่าและเป็นที่พิโรธ ณ อัลลอฮฺมากกว่าการอวยพรในวงสุรา หรือในโอกาสที่เขาฆ่าคน หรือผิดประเวณี ฯลฯ แน่นอนว่ามีคนมากมายซึ่งไม่รู้ศาสนาได้ตกลงไปในหลุมพรางเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ทำไปนั้นชั่วร้ายเลวทรามขนาดไหน ใครก็ตามที่อวยพรให้กับคนอื่นในเรื่องที่บาป บิดอะฮฺ หรือกุฟรฺ เขาย่อมต้องพบกับความพิโรธและความไม่พอใจของอัลลอฮฺ” อะหมัดพูดต่อไปท่ามกลางเสียงที่เงียบกริบของบรรดาผู้ที่นั่งฟังว่า “เป็นการดีที่มุสลิมทุกคนควรจะได้ฟังหะดีษนี้ของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เพื่อมันจะได้ไม่เกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา หะดีษที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดที่เลียนแบบกลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใด เขาก็เป็นหนึ่งในหมู่พวกเขา” อิบนุ ตัยมียะฮฺ ได้พูดอธิบายหะดีษนี้ว่า อย่างน้อยที่สุดสำหรับกรณีนี้ก็คือ มันบ่งบอกว่าการเลียนแบบพวกเขานั้นเป็นที่ต้องห้าม แม้ว่าโดยผิวเผินแล้วความหมายของหะดีษนั้นชี้ว่าการเลียนแบบพวกเขานั้นเป็นเหตุให้ตกเป็นกุฟรฺ เช่นที่อัลลอฮฺได้ตรัสว่า ﴿وَمَن يَتَوَلَّهُم مِّنكُمْ فَإِنَّهُ مِنْهُمْ﴾ ความว่า “ผู้ใดในระหว่างพวกเจ้าที่ยึดถือพวกเขาเป็นมิตรชิดใกล้ แท้จริงเขาก็เป็นหนึ่งในหมู่คนเหล่านั้น” (อัล-มาอิดะฮฺ 51) สุดท้าย อะหมัดก็วกกลับไปถามด้วยเสียงที่ฟังดูขมขื่นและน่าเศร้าว่า “ตอบฉันมาสิ โอ้ พี่น้องทั้งหลาย จอร์จได้เชือดกุรบ่านแล้วแบ่งสามส่วนหรือเปล่า ?! หรือว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่าในจินตนาการที่เราไม่เคยพบเห็นเลยในชีวิตความเป็นจริงของเรา ?” ...